สเต็มเซลล์ Stem Cell คืออะไร มีประโยชน์ต่อร่างกายเราอย่างไร
สเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือที่เรียกว่า “เซลล์ต้นกำเนิด” เป็นเซลล์อ่อนที่พร้อมจะเจริญเติบโต แบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ และเปลี่ยนแปลงเพื่อไปทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง เซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายของมนุษย์จะทำหน้าที่จำเพาะอย่างใดอย่างหนึ่งโดยไม่ย้อนกลับมา ซึ่งเซลล์ที่พัฒนาไปจนสุดทางจนเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ หรือเซลล์สมอง เซลล์เหล่านี้เมื่อตายไปแล้ว จะไม่มีเซลล์ใหม่มาทดแทน ในขณะเดียวกันร่างกายของคนเราก็ยังมีเซลล์อีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถเติบโตได้อีก โดยสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดพวกนี้สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้
เซลล์ต้นกำเนิดคืออะไร ?
เซลล์ต้นกำเนิดเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต นับตั้งแต่เมื่อสเปิร์มได้ผสมกับไข่ เซลล์ต้นกำเนิดหนึ่งเซลล์จะเริ่มแบ่งตัวจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ และพัฒนาตัวเองไปเป็นเซลล์กว่า 200 ชนิด เพื่อประกอบขึ้นเป็นร่างกายมนุษย์ จนสมบูรณ์ในครรภ์มารดา หรือจะกล่าวว่าเซลล์ต้นแบบคือเซลล์อ่อนที่ยังไม่พัฒนาตัวเองจนสมบูรณ์ก็ย่อมได้
เซลล์ต้นกำเนิดสามารถเจริญเติบโตแบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ได้อย่างไม่จำกัด และมีศักยภาพพอเพียงที่จะพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ได้แทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมอง เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์เม็ดเลือด และเซลล์กระดูก
เซลล์ต้นกำเนิดทุกชนิดจะมีลักษณะพิเศษที่สำคัญสามประการ คือ
1. สามารถแบ่งตัวเองขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และมีสารอาหารที่เพียงพอ
2. ในกรณีที่แบ่งตัวแล้ว ยังต้องคงสภาพการเป็นเซลล์ที่ยังไม่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงเอาไว้ด้วย
3. สามารถพัฒนาตัวเองไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้มากกว่า 200 ชนิด
สำหรับเซลล์ปกติในร่างกายมนุษย์นั้น จะทำหน้าที่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของตนเองได้ เช่น เซลล์สมองไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจได้ อีกทั้งยังไม่สามารถพัฒนาหรือแบ่งตัวต่อไปได้ ดังนั้นเมื่อเซลล์เหล่านี้ตายลง ก็จะไม่มีเซลล์ใหม่มาทดแทน
กำเนิดเซลล์ต้นกำเนิด
เซลล์ต้นกำเนิดได้ถูกค้นพบในไขกระดูกเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2503 โดยสองนักวิจัยชาวแคนาดา คือ ดร.เจมส์ อิรัล และ ดร.เออเนส เอ แมคคอล์ฟ นับแต่นั้นเป็นต้นมา การพัฒนาและวิจัยเกี่ยวกับเซลล์ต้นกำเนิดก็ได้ดำเนินมาอย่างไม่หยุดยั้งจนถึงปัจจุบัน
ความมหัศจรรย์ของเซลล์ต้นกำเนิด
“เซลล์ต้นกำเนิด คือของขวัญแห่งสหัสวรรษ ที่ธรรมชาติมอบให้แก่มวลมนุษยชาติ”
เพราะเซลล์ต้นกำเนิดสามารถช่วยให้เราซ่อมแซมตัวเองได้ เช่นเดียวกับปลาดาว ยามเมื่ออวัยวะฉีกขาด ก็จะเกิดการงอกอวัยวะเดิมขึ้นมาใหม่เป็นการทดแทน เพียงแต่ศักยภาพในการซ่อมแซมตัวเองตามธรรมชาติของมนุษย์นั้นยังมีขีดจำกัด หากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการคิดค้นพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ได้ทำให้เซลล์ต้นกำเนิดสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นไปได้ในระดับหนึ่ง และถูกนำไปใช้ประโยชน์ในวงการแพทย์อย่างมากมาย
ในปัจจุบันนี้ มีการค้นพบวิธีรักษาโรคด้วยเซลล์ต้นกำเนิดแล้ว 100 กว่าโรค เช่น โรคโลหิตจาง, โรคธาลัสซีเมีย, โรคพันธุกรรมที่เกี่ยวกับการทำงานของไขกระดูกที่บกพร่อง, โรคความผิดปกติเกี่ยวกับระบบเมตาบอลิซึ่ม, โรคภูมิแพ้ และโรคที่เกิดจากความเสื่อมต่างๆ ส่วนมะเร็งชนิดต่างๆ ก็มี เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือด, มะเร็งเต้านม, มะเร็งสมอง, มะเร็งของไต และมะเร็งกระดูก เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโรคที่อยู่ในระหว่างการวิจัย เช่น โรคอัลไซเมอร์, โรคพาร์กินสัน, โรคมะเร็งบางชนิด, โรคไตวาย และโรคตับ
ในอนาคตอันใกล้ เซลล์ต้นกำเนิดยังนำมาใช้ทดแทนการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย และจะสามารถช่วยคนได้มากกว่า 120 ล้านคนทั่วโลก ให้หายขาดจากโรคที่ปัจจุบันยังไม่มีทางรักษา และส่งผลให้มนุษย์มีอายุขัยโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
คุณประโยชน์ของ “สเต็มเซลล์” (Stem Cell)
เราสามารถพบเซลล์ตันกำเนิด (Stem Cell) ได้ในระยะบลาสโตซิส (Blastocyst) ซึ่งเป็นเซลล์กลุ่มแรก ที่เริ่มพัฒนาขึ้นมาภายหลังการปฏิสนธิระหว่างตัวอสุจิและรังไข่ เซลล์พวกนี้อยู่ในชั้น Inner cell mass ดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย แต่ประเด็นที่สำคัญยิ่งก็คือ เมื่ออายุมากขึ้น เซลล์กลุ่มนี้ก็จะค่อยๆ หายไป และพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย
เซลล์ต้นกำเนิดประเภทนี้นักวิทยาศาสตร์เรียกกันว่า Embryonic Stem Cell (ES Cell) จากนั้นใน ปี พ.ศ. 2541 นักวิทยาศาสตร์สามารถเพาะ ES cell ขึ้นมาได้ในห้องทดลอง โดยเพาะมาจากเซลล์ตัวอ่อนของมนุษย์ และเซลล์สืบพันธุ์ จนสามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นสายพันธุ์ของเซลล์ได้สำเร็จ
ในปี พ.ศ. 2544 เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนก็ถูกพัฒนาโดยนำไปเพาะพันธุ์เป็นเซลล์เม็ดเลือดแดงได้สำเร็จเป็นครั้งแรก จากจุดนี้เอง ที่นับว่าเป็นความก้าวหน้าอันสำคัญยิ่งของงานวิจัยทางการแพทย์ ซึ่งจะสามารถนำไปใช้ในรักษาโรคต่างๆ ได้อีกมากมาย
ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เซลล์ต้นกำเนิด 2 ชนิด เพื่อนำมาทดลองวิจัย
1.เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน (ES Cell)
2.เซลล์ต้นกำเนิดในผู้ใหญ่ (Adult Stem Cell)
เซลล์ต้นกำเนิดในผู้ใหญ่นี้ได้มาจาก “ร่างกาย” และมีความสามารถในการแบ่งตัวได้น้อยกว่า ES cell แต่สามารถพบได้ในอวัยวะหลายชนิดในร่างกาย โดยเฉพาะในเนื้อเยื่อที่มีการสร้างเซลล์ทดแทนอยู่ตลอดเวลา เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์ไขกระดูก (ผลิตเม็ดเลือดแดง) เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหาร เซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเซลล์หัวใจ เป็นต้น
แต่จุดที่ต่างจากจาก ES cell อย่างมากก็คือ เซลล์ต้นกำเนิดในผู้ใหญ่นี้ จะสามารถสร้างทดแทนอวัยวะได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ในขณะที่ ES cell สามารถจะสร้างทดแทนอวัยวะได้ทั้งหมด
ข้อดี-ข้อเสีย ของสเต็มเซลล์ชนิดต่างๆ
ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เซลล์ต้นกำเนิด 2 ชนิด เพื่อนำมาทดลองวิจัย
1. เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน (ES Cell)
2. เซลล์ต้นกำเนิดในผู้ใหญ่ (Adult Stem Cell)
เซลล์ต้นกำเนิดในผู้ใหญ่นี้ได้มาจากร่างกาย และมีความสามารถในการแบ่งตัวได้น้อยกว่า ES cell แต่สามารถพบได้ในอวัยวะหลายชนิดในร่างกาย โดยเฉพาะในเนื้อเยื่อที่มีการสร้างเซลล์ทดแทนอยู่ตลอดเวลา เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์ไขกระดูก (ผลิตเม็ดเลือดแดง) เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหาร เซลล์สมอง เซลล์ประสาทและเซลล์หัวใจเป็นต้น แต่จุดที่ต่างจากจาก ES cell อย่างมากก็คือ เซลล์ต้นกำเนิดในผู้ใหญ่นี้ จะสามารถสร้างทดแทนอวัยวะได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ในขณะที่ ES cell สามารถจะสร้างทดแทนอวัยวะได้ทั้งหมด..
ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้นำเซลล์จากรกของคน ซึ่งพบว่า มีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับ ES cell มากและสามารถเติบโตซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสลายไปได้เป็นอย่างดี โดยนำมาสกัดผ่านกระบวนการทางชีวะภาพ จนได้เป็นสารสกัดที่บริสุทธิ์ และนำมาฉีดเข้าสู่ร่างกาย พบว่าสามารถช่วยให้คนไข้ที่ป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน หรืออัลไซเมอร์ (เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาทและเซลล์สมอง) มีอาการดีขึ้นอย่างมาก และที่สำคัญก็คือ ช่วยให้ผิวพรรณที่เสื่อมโทรมลงตามวัยสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้
เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ก้าวหน้าขึ้นมาอีกขั้น ด้วยการนำเซลล์ตัวอ่อนที่ได้จากเซลล์ของพืช พัฒนาขึ้นมาและได้นำไปทดลองใช้กับผิวหนังของสัตว์ทดลอง พบว่า สามารถซ่อมแซมผิวหนังส่วนที่เสื่อมโทรมได้ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้อย่างมีประสิทธิภาพ!
ขอบคุณข้อมู,จาก http://www.oryor.com/,men.postjung.com,ข้อมูลจาก internet